วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเภทของนกที่จะนำมาเลี้ยง

                    ประเภทของนกที่จะนำมาเลี้ยง
เราสามารถเลือกนกที่จะนำมาเลี้ยงได้หลายแบบหลายขนาด เช่น เลี้ยงลูกนกเกิดใหม่ นกหูดำ นกหนุ่ม นกป่า หรือจะซื้อหานกที่ฝึกมาแล้ว
                                                        ลูกนกหูดำ
ลูกป้อนนกกรงหัวจุก หรือ ลูกนกหูดำ

ปกติลูกนกที่มีอายุ 1-2 เดือน ขนที่หูหรือแก้มจะยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง และยังร้องไม่เป็น จึงเรียกว่า ลูกนกหูดำ หรือลูกนกลูกใบ้ จะเป็นลูกนกที่ผู้นิยมเลี้ยงนำไปเลี้ยงในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงก่อนต้นฤดูฝน ในระยะหลัง ลูกนกลูกใบ้หรือนกหูดำจะมีราคาค่อนข้างสูง เมื่อได้ลูกนกไปแล้วก็นำลูกนกไปฝึกหัดเอง
ข้อดี1. ลูกนกที่นำมาเลี้ยงจะเข้ากับคนได้เป็นอย่างดี ไม่ตื่นกลัวเมื่อพบคนแปลกหน้า เป็นนกที่ค่อนข้างเชื่อง
2. ถ้าหากมีนกต้นแบบที่ร้องดีคอยฝึกหัดให้ลูกนกได้จดจำเพลงร้อง จนลูกนกสามารถเลียนแบบได้ ก็จะได้นกที่มีน้ำเสียงดี
3. นกจะมีขนสวยงาม เนื่องจากเราฝึกให้เขาอาบน้ำเป็นตั้งแต่เล็กๆ
4. ใช้เวลาเลี้ยงราว 1 ปี ก็จะได้นกหนุ่มที่สวยงาม และสามารถร้องให้ฟังได้แล้ว
ข้อเสีย1. ลูกนกจะมีนิสัยขี้อ้อน แม้เมื่อโตขึ้นและพร้อมที่จะเข้าสนามซ้อม เพื่อแข่งขันก็มักแสดงอาการแบบลูกนกออกมาให้เห็นเสมอๆ โดยกระพือปีกเบาๆ และแลบลิ้นเพื่อขออาหาร
2. เมื่อโตขึ้นจะแสดงอาการคึกมากกว่าปกติ และมักแสดงนิสัยที่ไม่ดีออกมาให้เห็น เช่น จิกหาง จิกหา และจิกปีตัวเอง ทำให้ขนนกไม่สวยงาม
3. ถ้าเลี้ยงลูกนกหูดำโดยไม่มีนกต้นแบบหรือนกฝึกหัดที่ดี ลูกนกตัวนั้นก็จะร้องได้ไม่น่าฟัง แม้ปัจจุบันจะมีการขายเทปเสียงร้องของนกกรงหัวจุก แต่ผลที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเทปเพลงมักจะอัดจากสนามซ้อมหรือสนามแข่งขัน ซึ่งจะมีเพลงร้องทั้งที่ดีและไม่ดีปะปนกัน
4. มีความเสี่ยงในเรื่องรูปร่างหน้าตาของนก เนื่องจากขณะที่ยังเป็นลูกนก ลักษณะต่างๆ ที่ปรากฏยังไม่เต็มที่ เมื่อนกโตขึ้นจะผลัดขนไปทุกปี จนกระทั่งเป็นหนุ่ม เราจึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงว่าสวยงามแค่ไหน บางตัวพอโตขึ้นหัวจุกตรงหรือโค้งไปข้างหลัง สร้อยหรือหมึกดำมีน้อยหางยาว ไม่สวยงาม และไม่เข้ารูปมมาตรฐาน
                                                       เลี้ยงนกป่า
นกกรงหัวจุกป่าตามธรรมชาติ

วิธีนี้ชาวบ้านจะใช้เครื่องมือหลายอย่างในการดักจับนก เช่น
1. ใช้กรงหรือเพนียดต่อนก โดยใช้นกตัวผู้ที่ร้องมาก เรียกนกเก่ง กล่าวคือจะร้องสำนวนสั้นๆ เพื่อเชื้อเชิญให้นกป่าเข้ามาต่อสู้กัน ใส่ไว้ในกรง เมื่อนกป่าได้ยินเสียงร้องก็จะบินโฉบไปใกล้กรงต่อและร้องต่อสู้กัน โดยจะกระพือปีก กระโดดไปมา มีอาการร้องขู่ จนกระทั่งนกป่าเข้าโจมตีโดยการจิกนกในกรงต่อ ซึ่งก็จะถูกตาข่ายดีดลงมาทับตัวเอาไว้
ข้อดี1. นกป่าที่ต่อมาได้จะเป็นนกหนุ่มที่ร้องเพลงเป็นแล้ว และสามารถดูออกว่ารูปร่างสวยงามหรือถูกต้องตามลักษณะแค่ไหน เพราะร้องและน้ำเสียงเป็นอย่างไร เพราะขณะที่นกลงมาต่อสู้กัน นกจะร้องปะทะคารมกันก่อน เมื่อจับมาแล้วก็นำไปเลี้ยงให้เชื่องได้เลย
2. นกที่โตในป่าจะมีจิตใจที่สู้เต็มร้อย จึงกล้าลงต่อสู้กับนกในกรงต่อได้ เนื่องจากนกที่โตในป่ามักจะแสดงตัวเป็นเจ้าของพื้นที่ ดังนั้น เมื่อนกตัวอื่นพลัดหลงเข้าไปก็จะโดนไล่จิกตี จึงมีความลำพองว่าตัวเองเก่ง เมื่อเรานำมาเลี้ยงไว้จนเชื่อง จึงมีสัญชาตญาณใจสู้เหมือนเดิม และสามารถลงแข่งขันได้
ข้อเสีย1. นกที่ได้มาจากป่าจะมีสัญชาตญาณการอยู่ในป่า หากินในที่กว้าง เมื่อเราจับมาเลี้ยงในที่จำกัด นกจะตื่นกลัวและพยายามบินหนีตลอดเวลา อาจทำให้
1.1 เวลาที่คนเข้าไปใกล้ๆ นกจะบินชนซี่กรง ทำให้จมูกเลือดออกหายยาก เพราะนกจะบินชนตลอดเวลา
1.2 นกบางตัวเมื่ออยู่ในที่แคบๆ จะตกใจกลัว และพยายามหนีสุดชีวิต จนเป็นเหตุให้บิดคอหรือตีลังกาจนติดเป็นนิสัย ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่ดี ไม่นิยมกัน
1.3 ถ้าคิดจะเลี้ยงนกประเภทนี้ไว้แข่ง และเจ้าของไม่ได้เอาใจใส่ดูแลอย่างดีและสม่ำเสมอ อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี หรือมากกว่า ทำให้เสียเวลามาก ปัจจุบันนกประเภทนี้หาซื้อได้ยาก เพราะในธรรมชาติเหลืออยู่น้อยมาก
2. ใช้ตาข่ายหรือลอบจับนกป่าเป็นฝูง
วิธีการนี้เป็นการจับนกป่าที่ทำให้ปริมาณนกลดลงไปอย่างรวดเร็ว และเป็นวิธีที่ห้ามและมีการจับกุมคนจับ จึงไม่สนับสนุนให้ทำ
                                           เลี้ยงนกที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้ว
นกที่ผ่นการเลี้ยงดูมาแล้วเป็นอย่างดี

เป็นวิธีที่ค่อนข้างได้ผลดี เนื่องจากผู้เลี้ยงสามารถเลือกนกได้ตามใจชอบและตามหลักการที่กำหนด เพราะนกเหล่านี้จะสู้และแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นเต็มที่ ทำให้รู้ว่ามีใจสุ้แค่ไหน สำนวนดีหรือไม่ น้ำเสียงเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตาได้มาตรฐานแค่ไหน แล้วยังเห็นลีลาที่ดีและข้อเสียที่นกแสดงออกมา เช่น กระโดดไปร้องไป วิ่งเกาะถ้วย หรือบิดคอ เราก็สามารถตัดสินใจได้เลย วิธีนี้เรามักจะนำนกที่สู้แล้วไปเทียบเคียง คือเอาไปแขวนให้กรงห่างกันประมาณ 1 เมตร นกก็จะต่อสู้และร้องประชันกัน
ข้อดี1. สามารถคัดเลือกได้เต็มที่ เพราะเราสามารถเห็นลักษณะการแสดงออกของนกได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
2. ได้นกที่คุ้นเคยกับคน ไม่ตกใจบง่าย ใช้เวลาเลี้ยงและฟิตไม่นานก็เข้าสนามแข่งได้เลย
ข้อเสีย คือราคาค่อนข้างแพง เนื่องจากผู้ขายเลี้ยงมาจนเชื่องแล้ว
                                                      คลิปตัวอย่าง
                                                    ลูกป้อนนกตัวจุก
                                                                     นกกรงหัวจุกป่า
                                              นกกรงหัวจุกที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นมาของนกกรงหัวจุก (นกหัวจุก)
นกกรงหัวจุกที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ

จากการศึกษาข้อมูล และจากการสอบถามผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกที่ได้สัมผัสกับการเลี้ยงนกกรงหัวจุก (นกหัวจุก) มานับสิบๆปี ได้กล่าวว่า ในประเทศไทย ได้มีการเลี้ยงนกกรงหัวจุก (นกหัวจุก) ที่จับมาจากป่ามาเลี้ยงแล้วนับ 100 ปี แต่เลี้ยงกันตามบ้านไม่ได้แพร่หลาย เพิ่งจะมีการเลี้ยงอย่างจริงจังและมีการประกวดเมื่อปี 2519 หรือประมาณ 30 ปีมาแล้ว และเลี้ยงกันมากจนกลายเป็นวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมของไทย ปัจจุบันมีการเลี้ยงนกกรงหัวจุกอยู่เป็นจำนวนมาก เลี้ยงกันตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ รวมไปถึงประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ในทางภาคใต้จะมีการจัดการแข่งขันการประกวดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ มีสิ่งของรางวัลมอบให้แก่ผู้ชนะการประกวด มีการจัดตั้งชมรมนกกรงหัวจุกในทุกระดับตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับประเทศเช่นกัน และมีการประสานงานกันเป็นเครือข่าย ว่าจะมีการจัดประกวดแข่งขันกันที่ไหนบ้าง ทุกชมรมก็จะจัดส่งนกกรงหัวจุกเข้าประกวด ทำให้การประกวดสนุกสนานและคึกคักยิ่งขึ้น เพราะขณะที่กรรมการติดสิน เจ้าของนกก็จะส่งเสียงเชียร์นกของตนเองและพรรคพวก ดูแล้วคึกคักสนุกสนานและเป็นการคลายเครียดเป็นการพักผ่อนไปในตัว


นกกรงหัวจุก (นกหัวจุก) เป็นนกอยู่ในวงศ์นกปรอดใน Family Pycnonotidae หรือวงศ์นกปรอด มีชื่อเป็นทางการว่า "นกปรอดหัวโขนเคราแดง" มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus Jocosus ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี 2535 จัดเป็นนกคุ้มครองประเภทที่ 3 แต่สามารถเพาะพันธุ์ได้ นกในวงศ์นกปรอดนี้ ส่วนใหญ่พบในประเทสแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาก มีชื่อเรียกกันดังนี้
1.ชื่อเรียกเป็นทางการว่า "นกปรอดหัวโขนเคราแดง"
2.ชื่อเรียกในทางภาคเหนือว่า "นกพิชหลิว"
3.ชื่อเรียกในทางภาคกลางว่า "นกปรอดหัวโขน" หรือ "นกปรอดหัวจุก"
4.ชื่อเรียกในทางภาคใต้ว่า "นกกรงหัวจุก"
5.ชื่อเรียกเป็นภาษามาลายูท้องถิ่นว่า "บุรงวอเบาะยาโม" ของชาวมุสลิม
6.ชื่อเรียกที่เป็นทีรู้จักกันทุกภาคว่า "นกกรงหัวจุก"
วงศ์นกปรอดมีหลายชนิด เช่น

1. นกปรอดหัวโขนเคราแดง
     บ้างก็เรียกว่า ปรอดหัวโขนแก้มแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Red whiskered Bulbul ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus Jocosus ได้ชื่อตามลักษณะของตัวนกเอง เป็นต้นว่า หัวโขน หมายถึง บนหัวมีขนยาวเป็นจุก เหมือนการสวมหัวโขนเอาไว้ ส่วนที่ว่าเคราแดงไม่น่าจะถูกต้อง จริงๆแล้วส่วนที่เป็นสีแดงจะอยู่ใต้ดวงตา นิยมเรียกว่า หูแดง หรือ แก้มแดง นกชนิดนี้มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นอยู่มากกมาย เช่น ภาคใต้ เรียกว่า นกกรงหัวจุก ภาคเหนือเรียกว่า นกปริ๊ดจะหลิว หรือพิชหลิว ส่วนภาคกลางเรียกว่า นกปรอดหัวจุกหรือนกหรอดหัวโขน เป็นนกที่น่าดู ใครๆก็ชอบ อาศัยอยู่ตามป่าไร่

2. นกปรอดก้นเหลือง
     บ้างก็เรียกนกปรอดหัวโขนก้นเหลือง มีชื่อภาษากังกฤษว่า Brown-breasted Bulbul ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus xanthorrhous มีแถบสีน้ำตาลที่อก ซึ่งตัดกับสีขาวของลำคอ อกส่วนล่างและท้องออกขาว ใต้หางสีเหลือง จุกสั้นสีดำ ช่องว่างระหว่างตากับจะงอยปากและหนวดสีดำแกมสีน้ำตาล ชอบอาศัยอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้

3. นกปรอดก้นแดง
     นกปรอดก้นแดงหรือนกปรอดคางแพะ เรียกชื่อภาษาอังกฤษว่า Sooty-headed Bulbul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus aurigaster จุกสั้นสีดำ หน้ากากสีดำตัดแก้ม แก้มสีขาวเทา ส่วนบนสีน้ำตาลเทา มีแถบขาวบนขนหางด้านบน หลายหางสีขาว ด้านล่างสีขาวเทา ขนใต้หางอาจมีสีแดงหรือสีเหลือง อาศัยตามสวน ในที่เพาะปลูกและป่าโปร่ง

4. นกปรอดหน้านวลก้นเหลือง
     นกปรอดหน้านวล หรือนกปรอดหน้านวล ก้นเหลือง ขอบตาขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Yellow-vented Bulbul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus goiavier ตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน ด้านบนของตัวมีสีน้ำตาลอมเขียว ด้านใต้ท้องมีสีขาวเจือน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย ระหว่างตาและโคนปากมีสีดำ เหนือตามีแถบกว้างสีขาวคล้ายคิ้ว ขนคลุมใต้โคนหางมีสีเหลือง อยู่ตามแหล่งเพาะปลูก ตามสวนมะพร้าวที่อยู่ติดทะเล

5. นกปรอดสวน
     มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Streak-eared Bulbul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus Blanfordi คล้ายกัยนกปรอดสีไพรใหญ่ แต่มีสีซีดกว่า แบะมีสีน้ำตาลเจือมากกว่า ขนคลุมใต้โคนหางเป็นสีเหลืองมากกว่าปรอดสีไพรใหญ่ และขนคลุมหูมีลายขาวเป็นแถบๆ อยู่ตามพื้นทีเพาะปลูก ตามสวนพบทั่วไปในที่ลุ่ม

6. นกปรอดทอง
     มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Black-headed Bulbul มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus Atriceps ตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน ถัดเข้ามามีแถบเล็กๆ สีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้า มีอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย ชอบอยู่ตามชายป่า

7. นกปรอดเหลืองหัวจุก
    ชื่อสามัญ Black-crested Bulbul ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus melanicterus

 นกกกรงหัวจุกแชมป์ถ้วยพระราชทาน